วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555

chelsea








สโมสรฟุตบอลเชลซีก่อตั้งเมื่อ 10 มีนาคม พ.ศ. 2448 (ค.ศ. 1905) ที่ ผับชื่อเดอะไรซิงซัน ตรงข้ามกับสนามแข่งปัจจุบันบนถนนฟูแลม และได้เข้าร่วมกับลีกฟุตบอลในเวลาต่อมา เชลซีเริ่มมีชื่อเสียงภายหลังจากที่ได้รับชัยชนะใน ดิวิชั่น 1 ฤดูกาล 1954–55
ปี 1996 แต่งตั้ง รุด กุลลิท(Ruud Gullit) เป็นทั้งผู้เล่นและผู้จัดการทีม เชลซีสามารถคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ มาครองได้ในยุคของกุลลิทนี้
ปี 1997 เปลี่ยนผู้จัดการทีมเป็น จิอันลูก้า วิอัลลี่( Gianluca Vialli) โดยเป็นทั้งผู้เล่นและผู้จัดการทีมในช่วงแรก ในยุคของวิอัลลี่นี้สามารถทำทีมได้แชมป์ลีกคัพ และ ยูฟ่า คัพวินเนอร์สคัพและสามารถเข้าถึงรอบรอง"ยูฟ่า คัพวินเนอร์สคัพ"ได้เป็นปีทีสองติดต่อกันก่อนที่จะแพ้รีล มายอร์ก้าในปีนั้นทีมที่ได้แชมป์คือ ลาซิโอทีมจากอิตาลีไป ซึ่งเป็นปีสุดท้ายที่มีการจัดการแข่งขัน "ยูฟ่า คัพวินเนอร์สคัพ"
ปี 2000 จิอันลูก้า วิอัลลี่ถูกปลดออกจากผู้จัดการทีมและแทนที่ด้วย เคลาดิโอ รานิเอรี(Claudio Ranieri) เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ ในยุคของรานิเอรีนั้น เชลซีมีผลงานติดห้าอันดับแรกของของพรีเมียร์ลีกอย่างสม่ำเสมอ
มิถุนายน ปี พ.ศ. 2546 (ค.ศ.2003) โรมัน อบราโมวิช เข้าซื้อกิจการต่อจากเคน เบตส์(Ken Bates) ในราคา 140 ล้านปอนด์ หลังการเข้าซื้อกิจการของมหาเศรษฐีชาวรัสเซีย เคลาดิโอ รานิเอรีซึ่งเป็นผู้จัดการทีมในขณะนั้นยังคงได้คุมทีมต่อไป ภายใต้การเปลี่ยนแปลงทีมอย่างมากมาย มีการซื้อนักเตะชื่อดังหลายรายเข้ามาเสริมทีมโดยใช้เงินไปอีกมากมายกว่าร้อยล้านปอนด์ เมื่อสิ้นสุดฤดูกาลแข่งขันเชลซีไม่คว้าแชมป์ใดมาได้เลย สามารถทำอันดับ 2 ของพรีเมียร์ลีก และ เข้าสู่รอบ 4 ทีมสุดท้ายยูฟ่าแชมเปี้ยนลีก เมื่อจบฤดูกาลแรกหลังจากเข้าซื้อกิจการของมหาเศรษฐีชาวรัสเซีย ทางทีมจึงได้ปลด เคลาดิโอ รานิเอรี่ ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม และได้เซ็นสัญญาให้ โชเซ่ มูรินโญ่ ( José Mourinho)เป็นผู้จัดการทีมต่อมา
ปี พ.ศ. 2547 (ค.ศ.2004) เปลี่ยนผู้จัดการทีมเป็น โชเซ่ มูรินโญ่ ซึ่งสร้างสีสันให้กับวงการฟุตบอลอังกฤษในสมัยนั้นเป็นอย่างมากกับบทสัมภาษณ์และทัศนะของ มูริญโญ่เอง
ปี พ.ศ. 2548 (ค.ศ.2005) ได้เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกหลังจาก โรมัน อบราโมวิช เข้าซื้อกิจการของสโมสร และครบร้อยปีจากการตั้งสโมสร
ปี พ.ศ. 2549 (ค.ศ. 2006) ได้เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกอีกครั้งสองสมัยติดต่อกัน
20 กันยายน พ.ศ. 2550 มูรินโญ่ถูกไล่ออกจากตำแหน่ง หลังจากทำผลงานไม่ดี 3 นัดติดต่อกัน แพ้ แอสตันวิลลา 0-2 เสมอแบล็กเบิร์นโรเวอร์ส 0-0 และไล่ตีเสมอโรเซนบอร์ก 1-1 [2] และเปลี่ยนผู้จัดการทีมเป็น อัฟราม แกรนท์ (Afram Grant)
11 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 สิ้นสุดฤดูกาลแรกของ อัฟราม แกรนท์ ไม่สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ หลังจากรับงาน อัฟราม แกรนท์ พาทีมเชลซีต่อสู้แย่งแชมป์กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จนถึงนัดสุดท้าย แต่ไม่สามารถทำได้โดยนัดสุดท้ายทำได้เพียงเสมอกับ โบลตัน (Bolton)1-1 โดยถูกตีเสมอในนาทีสุดท้ายของการแข่งขัน สิ้นสุดฤดูกาลเชลซีทำแต้มได้ 85 แต้ม โดยแชมป์(แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)ทำได้ 87 แต้ม
21 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 เข้าชิงแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกเป็นครั้งแรกของสโมสร กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่กรุงมอสโค ประเทศรัสเซีย ในเวลา 120 นาทีเสมอกัน 1-1 ต้องเตะลูกจุดโทษตัดสิน เชลซีแพ้ไป 10-9 ประตู
24 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ผู้บริหารสโมสรมีมติปลดอัฟราม แกรนท์ ออกจากตำแหน่ง
1 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 สโมสรเชลซีแต่งตั้ง หลุย เฟลิปเป้ สโกลารี่ ขึ้นเป็นกุนซือเชลซีอย่างเป็นทางการ
9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 สโกลารี่ทำผลงานได้ไม่ดี หลังจากนำทีมเสมอต่อ ฮัลล์ 1-1 ตามหลังแมนฯ ยูผู้นำอยู่ 7 แต้ม ผู้บริหารสโมสรได้มีมติปลดออกจากตำแหน่ง
12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 มติสโมสรแต่งตั้ง กุส ฮิดดิ้งค์ กุนซือชาวฮอลแลนด์ผู้จัดการทีมชาติรัสเซียเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ โดยฮิดดิ้งค์จะทำหน้าที่ควบ 2 ตำแหน่ง ทั้งผู้จัดการทีมชาติรัสเซียและผู้จัดการเชลซี และกุส ฮิดดิ้งค์ นี้พาเชลชี คว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ สมัยที่ 5 โดยเอาชนะเอฟเวอร์ตันในนัดชิงชนะเลิศ
1 มิถุนายน พ.ศ. 2552 สโมสรเชลซีแต่งตั้ง คาร์โล อันเชล็อตติ ขึ้นเป็นกุนซือเชลซีอย่างเป็นทางการ
ปี พ.ศ. 2553 ได้แชมป์พรีเมียร์ชิพ นับเป็นแชมป์ลีกสูงสุดสมัยที่ 4
ปี พ.ศ. 2553 คว้า ดับเบิ้ลแชมป์ เป็นครั้งแรก ของสโมสร โดยคว้า แชมป์ พรีเมียร์ลีก และ FA-CUP
22 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 คาร์โล อันเชล็อตติ ถูกปลดจากตำแหน่งหลังทำผลงานฤดูกาลที่ 2 ของเขากับเชลซีได้น่าผิดหวัง โดยเชลซีไม่สามารถคว้าแชมป์ได้เลย[3]
22 มิถุนายน พ.ศ. 2554 สโมสรประกาศแต่งตั้ง อังเดร วิลลาส-โบอาส โค้ชชาวโปรตุเกสเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่[4]
4 มีนาคม พ.ศ. 2555 อังเดร วิลลาส-โบอาส ถูกปลดออกจากตำแหน่ง เนื่องจากผลงานไม่ดีตามการคาดหวัง และแต่งตั้งให้ โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ เป็นผู้จัดการทีมชั่วคราวจนจบฤดูกาล[5]
5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 โรแบร์โต ดิ มัตเตโอ ผู้จัดการทีมชั่วคราวของเชลซีได้นำทีมคว้าแชมป์ เอฟเอคัพ ได้เป็นสมัยที่ 7 ของสโมสร โดยชนะ สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล ไป 2-1 จากลูกยิงของ รามีเรส และ ดร็อกบา[6]
19 พฤษภาคม พ.ศ. 2555 เชลซีคว้าแชมป์ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ได้เป็นสมัยแรก โดยชนะ สโมสรฟุตบอลบาเยิร์นมิวนิก ในการดวลจุดโทษไป 4-3 โดยเสมอในเวลา 1-1 ซึ่งเป็นแชมป์ที่สองในฤดูกาล 2011-12 ของเชลซี[7]

Peter Cech


ปีเตอร์ เช็ก
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อ:ปีเตอร์ เช็ก
วันเกิด:20 พฤษภาคม 1982
เกิดที่:ปลาเซน, สาธารณรัฐเชค
ตำแหน่ง:ผู้รักษาประตู
ส่วนสูง:196 ซม.
สโมสรปัจจุบัน:เชลซี
หมายเลขเสื้อ:1


นับตั้งแต่สิ้นยุคของปีเตอร์ ชไมเคิล วงการฟุตบอลอังกฤษก็หานายทวารระดับสุดยอดที่จะขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งที่คู่ควรไม่ได้ แต่เวลานี้ทุกคนต่างยอมสยบยกตำแหน่งนายทวารมือหนึ่งของวงการฟุตบอลอังกฤษให้กับปีเตอร์ เช็ก สุดยอดนายทวารที่มีสิทธิ์จะเป็นมือหนึ่งของโลกคนต่อไปไม่ยาก

ปีเตอร์ เช็ก นายทวารทีมชาติสาธารณรัฐเชค ป้จจุบันเล่นให้กับทีม "สิงโตน้ำเงินคราม" เชลซี และก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูที่เก่งที่สุดของโลก เคียงข้างจานลุยจิ บุฟฟ่อน, อิเคร์ คาซีญาส และเอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ เรียกว่าเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของชาวเชคเลยทีเดียว
เช็ก เกิดที่เมืองปลาเซน ในสาธารณรัฐเชค เริ่มต้นเล่นฟุตบอลกับทีมวิคตอเรีย ปลาเซน ซึ่งเป็นสโมสรท้องถิ่น โดยในช่วงแรกเช็ก เล่นเป็นกองกลางและกองหน้าให้กับทีมชุดเยาวชน แต่ก็เคยโดนจับไปเล่นเป็นผู้รักษาประตูบ้าง
แต่จุดเปลี่ยนที่สำคัญในชีวิตครั้งแรกของเขาก็คือการการขาหักเมื่อตอนอายุ 10 ขวบ ทำให้เช็ก หันไปเล่นเป็นผู้รักษาประตูถาวร
จากนั้นเช็กก็ย้ายไปสู่สโมสรที่ใหญ่กว่าอย่างชเมล บลาซานี่ ก่อนที่จะลงเล่นนัดแรกเมื่อตอนอายุ 17 ปีในปี 1999 และถูกสโมสรยักษ์ใหญ่ในบ้านเกิดอย่างสปาร์ต้า ปราก ซื้อตัวไปร่วมทีมด้วยค่าตัวถึง 700,000 ยูโร
การมาอยู่กับสโมสรใหญ่ในบ้านเกิดอย่างสปาร์ต้า ปราก เป็นการการันตีถึงฝีมือของยอดนายทวารดาวรุ่งรายนี้ได้ดี และพรสวรรค์ของเช็กก็ยิ่งโดดเด่นมากขึ้นอีกเมื่อสร้างสถิติไม่เสียประตูนานติดต่อกันถึง 855 นาที ซึ่งเป็นสถิติการไม่เสียประตูติดต่อกันนานที่สุดในเชคด้วย
นอกจากนี้เช็ก ยังไปสร้างชื่อในรายการใหญ่อย่างยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก โดยช่วยป้องกันประตูให้กับทีมได้ตลอดจนไม่แพ้ใครนานถึง 4 นัด
ผลงานของเช็กเข้าตาแมวมองของสโมสรยักษ์ใหญ่ในยุโรปอย่างจัง แต่กลับเป็นทางแรนส์ สโมสรในฝรั่งเศส ที่ได้ตัวเช็กไปร่วมทีมด้วยค่าตัว 5 ล้านยูโร
ช่วงเวลา 2 ปีที่เช็ก ได้อยู่กับแรนส์ แม้จะไม่ประสบความสำเร็จมากมายเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ผลงานในการป้องกันประตูของนายทวารวัยรุ่นที่โตเกินตัวอย่างเขา ทั้งยังมีคุณสมบัติที่ครบถ้วนของการเป็นยอดนายทวารไม่ว่าจะเป็นรูปร่างที่สูงใหญ่ถึง 196 ซ.ม. แขนขาที่ยาว การตัดสินใจที่ยอดเยี่ยม และปฏิกริยาตอบสนองที่รวดเร็ว ทำให้เคลาดิโอ รานิเอรี่ ผู้จัดการเชลซีสนใจและรีบซื้อมาร่วมทีมตั้งแต่ช่วงต้นปี 2004 โดยเป็นการจองตัวเอาไว้ก่อนและรอย้ายทีมหลังฤดูกาลสิ้นสุดด้วยค่าตัว 7 ล้านปอนด์
ทั้งนี้แม้จะรู้ว่าต้องเผชิญกับการแย่งชิงตำแหน่งกับ "ไอ้แมงมุม" คาร์โล คูดิชินี่ ผู้รักษาประตูมือหนึ่งที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดนายทวารของพรีเมียร์ลีก แถมยังมีการเปลี่ยนแปลงในทีมด้วยเมื่อรานิเอรี่ โดนไล่ออกและเป็นโชเซ่ มูรินโญ่ เข้ามาคุมทีมแทนแต่เช็กก็ไม่ได้หวั่นแต่อย่างใด
จุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้งของเช็ก ได้รับโอกาสจากมูรินโญ่ในช่วงพรีซีซั่นหลังจากที่คูดิชินี่ ที่เคยให้เป็นมือหนึ่งทำผิดพลาด ซึ่งเช็กก็ทำให้ทีมได้มั่นใจกับความสามารถในการป้องกันประตูที่สุดยอด และทำให้นายใหญ่ชาวโปรตุกีส วางใจให้เป็นนายทวารมือหนึ่งของทีมทันที
จากเกมแรกที่ลงสนามอย่างเป็นทางการคือการเอาชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดด้วยสกอร์ 1-0 ซึ่งเป็นการรักษาคลีนชีทได้ เช็กก็ไม่เคยสร้างความผิดหวังให้กับเพื่อนร่วมทีม ผู้จัดการ และแฟนบอลเลย
มีอยู่ช่วงที่เขาไม่เสียประตูติดต่อกันนานที่สุดถึง 1,025 นาทีด้วยกัน ซึ่งเป็นสถิติใหม่ของพรีเมียร์ลีก และจากนั้นก็ช่วยให้เชลซีประสบความสำเร็จได้แชมป์คาร์ลิ่ง คัพ รวมถึงแชมป์พรีเมียร์ลีกได้เป็นสมัยแรกในรอบ 50 ปีอีกด้วย ก่อนที่จะได้รับรางวัลถุงมือทองคำเมื่อจบฤดูกาล 2004-05
เช็กยังคงเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาลที่ 2 และช่วยนำเชลซี คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง ก่อนที่จะเข้ารับการผ่าตัดรักษาอาการบาดเจ็บที่ไหล่ ซึ่งก็ยังกลับมาลงเล่นได้ในช่วงเปิดฤดูกาล 2006-07 ได้พอดี
อย่างไรก็ตามในวันที่ 14 ต.ค.2006 เช็กก็ต้องประสบอุบัติเหตุร้ายแรงที่อาจถึงขั้นคร่าชีวิตได้เลย ในเกมกับเร้ดดิ้งที่มาเดจสกี้ สเตเดี้ยม เมือถูกสตีเฟ่น ฮันท์ มิดฟิลด์เจ้าบ้านเข้าชาร์จรุนแรงตั้งแต่นาทีแรกถึงเกมจนถึงขั้นหมดสติและโดนหามส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
cech
จังหวะเข้าบอลสุดโหด
ผลการสแกนปรากฎว่าเช็กกระโหลกศรีษะร้าวซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต แต่สุดท้ายก็ได้รับการผ่าตัดช่วยเหลือจนปลอดภัย แต่ก็ต้องพักรักษาตัวอยู่นานหลายเดือนก่อนที่จะกลับมาลงสนามได้อีกครั้งแต่ต้องสวมเครื่องป้องกันพิเศษที่ศรีษะเพื่อป้องกันการกระทบกระแทก ที่ต่อมาได้กลายเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของเช็กไปด้วยในตัว
สำหรับในเวทีทีมชาติ เช็กลงสนามรับใช้ชาติมาแล้วถึงกว่า 53 นัด (นับถึง 17 ต.ค. 2007) โดยทำผลงานได้โดดเด่นตั้งแต่เวทียูโร 2004 ที่โปรตุเกสที่นำทีมเข้าถึงรอบรองชนะเลิศและได้รับเลือกให้เป็นผู้รักษาประตูยอดเยี่ยมประจำทัวร์นาเมนต์ด้วย แต่ไม่ประสบความสำเร็จในฟุตบอลโลก 2006 ที่ตกรอบแรก
ส่วนในยูโร 2008 ปีเตอร์ เช็ก พกพาดีกรีนายทวารระดับโลกติดตัวมาร่วมทัวร์นาเม้นท์ซึ่งใน 2 เกมแรกก็ยังคงทำหน้าที่ป้องกันประตูได้อย่างเหนียวแน่นตามมาตรฐาน และมีสถิติเซฟในรอบแรกสูงที่สุดเป็นอันดับ 3 ที่ 18 ครั้ง แต่ความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงในจังหวะออกมาตัดลูกโด่งหลุดมือจนถูก นิฮัต คาห์เวชี่ ยิงตีเสมอให้ ตุรกี แบบส้มหล่นก่อนโดนแซง 3-2 ทั้งที่ขึ้นนำก่อนถึง 2 ลูก ส่งผลให้ทีมต้องกลับบ้านชนิดน้ำตาตกใน และบั่นทอนเครดิตของ เช็ก ไปไม่น้อยเลย

Luiz



ดาวิด หลุยส์ / David Luiz


      ข้อมูลส่วนตัว
      ชื่อ : ดาวิด หลุยส์
      วันเกิด : 22 เมษายน 1987 ( 23ปี )
      เกิดที่ : ดาลิมา ,บราซิล
      ส่วนสูง : 187 เซนติเมตร
      ตำแหน่ง : กองหลังตัวกลาง
      สโมสร : เชลซี(Chelsea)
      หมายเลขเสื้อ : 4

      สโมสรเยาวชน
      1996-2001 : เซา เปาโล (บราซิล)
      2001-2005 : วิคเตอเรีย (บราซิล)

      สโมสรอาชีพ
      2006-2007 : วิคเตอเรีย (บราซิล) ลงสนาม 26 นัด ยิง 1 ประตู
      2007-2011 : เบนฟิก้า (โปรตุเกส) ลงสนาม 72 นัด ยิง 4 ประตู
      2011-ปัจจุบัน : เชลซี ลงสนาม5 นัด ยิง 2 ประตู


      ทีมชาติ
      2007 : ทีมชาติ บราซิลชุด20 2 นัด
      2010-ปัจจุบัน : ทีมชาติบราซิล 5 นัด


     หลังจากที่ ดาวิด หลุยส์ ปราการหลังชาวบราซิลเลี่ยนของทีม เบนฟิก้าทีมดังในลีกโปตุกีส เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีม "สิงห์บูลส์"เชลซีด้วยค่าตัว 25ล้านยูโร(ราว1,000ล้านบาท)เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่าน ก็ไม่ทำให้ โรมัน อบราโมวิช เจ้าของทีมต้องผิดหวัง ด้วยการโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมในตำเเหน่งกองหลัง พร้อมทั้งประสานงานกับจอห์น เทอร์รี่ กองหลังกัปตันทีมได้อย่างยอดเยี่ยม ส่วนในการเติมเกมในเเนวรุกก็เป็นจุดเด่นของปราการหลังรายนี้เช่นกันหลายท่านคงจำได้ สำหรับลูกยิงอย่างสวยงามในนัดที่"สิงห์บูลส์"เชลซีเปิดบ้านเอาชนะ"ปีศาจเเดง"เเมนฯยูไนเต็ดไปเเบบสุดมันส์ด้วยสกอร์2:1 ล่าสุดกองหลังรายนี้ก็เติมเกมรุกเเละโหม่งทำประตูได้ด้วยในเกมที่ทีมต้นสังกัดไล่ต้อน"เรือใบสีฟ้า"เเมนฯซิตี้ไปแบบสบาย2:0 เเละในขณะนี้กองหลังวัย 23ปี ได้เป็นที่รักของเเฟนบอลเชลซีเข้าไปแล้ว

Drogba

นับตั้งแต่ย้ายมาเป็นสมาชิกในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ เมื่อปี 2004 ดร็อกบา ก็กลายเป็นหนึ่งในศูนย์หน้าที่ยอดเยี่ยมที่สุดในยุโรป และเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยให้เชลซีผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองได้ถึง 2 สมัยด้วย
          หัวหอกทีมชาติไอวอรี่โคสต์ ที่สื่อเรียกขานกันว่า "The Drog" เป็นนักเตะที่ถือว่าแจ้งเกิดค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับผู้เล่นส่วนใหญ่ที่มักจะเริ่มเจิดจรัสกันตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น           อย่างไรก็ตาม แม้อายุจะใกล้แตะเลข 3 เข้าไปทุกขณะ แต่ ดร็อกบา ก็ยังมีพร้อมทั้งความเร็ว ความแข็งแกร่ง และความทุ่มเท ที่พร้อมจะสร้างความหนักใจให้กองหลังทีมคู่แข่งได้เสมอ จนมีข่าวว่า บาร์เซโลน่า ยักษ์ใหญ่ของสเปน พร้อมจะทุ่มเงินก้อนโตเพื่อดึงไล่ตาข่าย
         ดร็อกบา ระเบิดฟอร์มได้สุดยอดในฤดูกาล 2006/07 เมื่อเหมาคนเดียวถึง 33 ประตูรวมทุกรายการ และทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่ทำประตูให้เชลซีได้มากที่สุด นับตั้งแต่ที่ เคอร์รี่ ดิ๊กสัน เคยทำได้ในฤดูกาล 1984/85 และ 20 ประตูที่ทำได้ในลีก ก็ทำให้เขาคว้ารางวัลรองเท้าทองคำของพรีเมียร์ชิพไปครอง
         นอกจากนั้น การลงสนามทั้งหมด 60 นัด ยังทำให้เขาเป็นนักเตะที่ลงสนามต่อซีซั่นมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์สโมสรด้วย
         ไม่เพียงแต่จะทำประตูได้อย่างสม่ำเสมอเท่านั้น ดร็อกบา ยังมักจะเป็นคนทำประตูสำคัญๆ ซึ่งรวมถึงการเหมาคนเดียว 2 ลูกให้ "สิงห์บลูส์" เอาชนะ อาร์เซน่อล 2-1 พร้อมกับคว้าแชมป์คาร์ลิ่ง คัพ ไปครองในปี 2007, ทำประตูได้ในเกมที่พบกับ บาร์เซโลน่า ทั้งเหย้าและเยือน ก่อนจะกลายเป็นนักเตะจากทวีปแอฟริกาคนแรก ที่ทำประตูในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ได้ ซึ่งเป็นประตูชัยที่ทำให้เชลซี เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงต่อเวลาพิเศษ
         ดร็อกบา ย้ายจาก โอลิมปิก มาร์กเซย มาร่วมทีมเชลซี ในช่วงซัมเมอร์ปี 2004 ด้วยค่าตัว 24 ล้านปอนด์ (ราว 1,680 ล้านบาท) พร้อมกับตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของลีก เอิง ฝรั่งเศส เป็นเครื่องการันตีความสามารถ
         นักเตะผู้พาไอวอรี่โคสต์ได้ร่วมสังฆกรรมในศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเมื่อปี 2006 ย้ายจากทวีปแอฟริกา มาอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ตั้งแต่ยังเด็ก ก่อนจะเริ่มต้นเล่นฟุตบอลในตำแหน่งแบ็กขวา
         หลังจากที่ได้เล่นให้กับสโมสรเล็กๆ มาแล้วหลายครั้ง ดร็อกบา ก็ตัดสินใจที่จะปฏิเสธข้อเสนอการทดสอบฝีเท้ากับปารีส แซงต์ แชร์กแมง ก่อนจะร่วมทีม เลอ ม็องส์ ในดิวิชั่น 2 ของเมืองน้ำหอม และเลื่อนขึ้นมาเล่นในลีก เอิง กับ แก็งก็อง
         การทำได้ 17 ประตูในฤดูกาล 2002/03 ได้เตะตาโชเซ่ มูรินโญ่ ที่ขณะนั้นยังเป็นผู้จัดการทีมของปอร์โต้ ทว่า ทีมดังของโปรตุเกส ไม่มีเงินพอที่จะซื้อ ดร็อกบา มาร่วมล่าตาข่ายได้ ก่อนที่เจ้าตัวจะตัดสินใจย้ายซบ มาร์กเซย
        ในฤดูกาลที่ 2 กับโอแอ็ม หัวหอกไอวอรี่โคสต์ ก็ซัดไป 18 ประตูจากการลงสนามในลีก 35 นัด และทำได้ 6 ประตูในการแข่งขันยูฟ่า คัพ ซึ่งมาร์กเซย ทะยานเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ
        จากนั้น "เดอะ ดร็อก" ก็ได้เซ็นสัญญากับ เชลซี ซึ่งมี มูรินโญ่ เป็นนายใหญ่ของทีม และกลายเป็นกำลังสำคัญในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ นับตั้งแต่ฤดูกาล 2004/05 จวบจนถึงปัจจุบัน
        นอกจากจะเป็นศูนย์หน้าที่เชลซีแทบจะขาดไม่ได้แล้ว ดร็อกบา ยังเป็นกัปตันทีมชาติไอวอรี่โคสต์ด้วย และผลงานที่ยอดเยี่ยมของเขาก็ทำให้ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของทวีปแอฟริกาปี 2006 ไปครอง โดยเขาติดทีมชาติเป็นครั้งแรก ในเกมที่เสมอกับแอฟริกาใต้ 0-0 เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2002 และเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของทีม "ช้างดำ" ในเวลานี้หลังทำไปแล้ว
        ในกลางฤดูกาล 2007/08 มูรินโญ่ ผู้เปรียบเสมือนพ่อคนที่สองของเขา โดนเด้งออกจากทีม ช่วงนั้นเป็นเวลาที่เขาเศร้ามาก ถึงขนาดเคยเปรยว่าจะออกจากทีมเลยทีเดียว แต่ก็ทนอยู่กับทีมมาอีกได้ในท้ายที่สุด
        ช่วงต้นฤดูกาล 2008/09 ดรอกบามีปัญหาปืนฝืด ทำให้โค้ชสโคลารี่ ดรอปเขาเป็นตัวสำรองอยู่บ่อยครั้ง ครั้นพอสโคลารี่ โดนเด้งออกไป และคนที่มาแทนคือ กุส ฮิดดิ้ง ความคมของดรอกบาก็กลับมาทันที จนจบฤดูกาลด้วย 15 ประตูจากการลงเล่น 39 นัด
ข้อมูลส่วนตัว
ชื่อ:ดีดิเย่ร์ อีฟ ดร็อกบา เตบิลี่
วันเกิด:11 มีนาคม 1978
เกิดที่:อาบิดิยัน, ไอวอรี่โคสต์
ตำแหน่ง:กองหน้า
ส่วนสูง:189 ซ
สโมสรปัจจุบัน:เชลซี
หมายเลขเสื้อ:11
สโมสรอาชีพ
ปี
สโมสร
ลงเล่น
ประตู
1998 - 2002เลอ ม็องส์6312
2002 - 2003แก็งก็อง4520
2003 - 2004มาร์กเซย3518
2004 - ปัจจุบันเชลซี20995
2002 - ปัจจุบันไอวอรี่โคสต์6138
ความสำเร็จในการเล่นอาชีพ
- นักเตะยอดเยี่ยมของทวีปแอฟริกาปี 2006
- แชมป์คาร์ลิ่ง คัพ 2007 กับเชลซี
- ดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก 2006/07 กับเชลซี (20 ประตู)
- แชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2005/2006 กับเชลซี
- แชมป์คอมมูนิตี้ ชิลด์ กับ เชลซี ในปี 2005
- แชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2004/2005 กับเชลซี
- แชมป์คาร์ลิ่ง คัพ 2005 กับเชลซี
- รองแชมป์ยูฟ่า คัพ ปี 2004 กับ มาร์กเซย


ข้อมูลล่าสุดเมื่อ : 2009-07-29 10:27:49 (อ่าน : 5605 ครั้ง)

Terry


เกิดเมื่อวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1980 เล่นฟุตบอลกับเชลซีมาตั้งแต่สมัยเยาวชน เล่นตำแหน่งกองหลังตัวกลาง ติดทีมชาติอังกฤษครั้งแรกในค.ศ. 2003 เขาเป็นรับผิดชอบสูงและกลียดความพ่ายแพ้ เวลาว่างเขากับเพื่อนๆจะไปเล่นเพ้นท์บอล(Paint Ball) กันเป็นประจำ จอห์น เทอร์รี่ เป็นคนที่มีความเป็นผู้นำสูง เป็นขวัญและกำลังใจให้กับลูกทีมทั้งเชลซีและทีมชาติอังกฤษ ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนเขาจะเคยเป็นแบดบอย ติดเหล้าและการพนัน แต่เขาก็สามารถปรับปรุงตัวใหม่ และก้าวไปสู่ความสำเร็จได้มั่นคง(ว่ากันว่าเจทีจะหลีกเลี่ยงการดื่มเหล้าหรือเบียร์ด้วยการดื่มน้ำส้มคั้นแทน ทุกครั้งที่มีการเลี้ยงฉลองที่ผับ หรือปาร์ตี้ )ดังนั้นกัปตันเจทีจึงเป็นอาจจะเป็นผู้ชายในฝันชองสาวๆหลายคน ถึงแม้ว่าเขาจะแต่งงานแล้วก็ตาม

วันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ.2008 ในนัดชิงชนะเลิศ ของฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยน ลีก จอห์น เทอร์รี่ ยิงจุดโทษพลาด ทำให้ เชลซี ต้องพลาดแชมป์ จอห์น เทร์รียังมีแฟนบอลมากกว่าที่คิด นอกจากนั่นก่อนที่จะได้เข้ามาในสโมสรเชลซ๊ยังถูกตีราคาถึง70ล้านปอนด์ทีเดียว เข้ามาวันแรกก็โชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมที่เดียว นอกจากนั่นยังพาทีมเชลซ๊ไปถึงฟุตบอลโลกทีเดียว

ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010 ฟาร์บิโอ คาร์เปลโล ผู้จัดการฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ ได้ปลดเทอร์รี่จากตำแหน่งกัปตันทีมชาติ เนื่องจากข่าวความสัมพันธ์ของเขากับกับวาเนสซา เพอร์รอนเซล ภรรยาของเวย์น บริดจ์ เพื่อนร่วมทีมชาติ

Lampart

 

                        แฟร้งค์ แลมพาร์ด




ชื่อนักเตะ(TH)
  แฟร้งค์ แลมพาร์ด
ชื่อนักเตะ(EN)
  Frank Lampard
สัญชาติ
  English
เบอร์
  8
ตำแหน่ง
  กองกลาง
ฤดูกาลนี้ ทำประตูไปแล้ว
  2 ประตู
วันเกิด
  20  มิถุนายน 1978
อายุ
  34  ปี
ส่วนสูง
  184 เซนเติเมตร
น้ำหนัก
  88 กิโลกรัม
ปัจจุบันอยู่ทีม
  เชลซี

Torres

 เอา ละเริ่ม ประวัติได้ สำหรับ กองหน้าเจ้าของ สถิติสูงสุด ของสโมสรเชลซี 50 ล้านปอนด์
ชื่อ - สกุล : Fernando Torres ( เฟร์นานโด ตอร์เรส )
นักฟุตบอล CHELSEA

ข้อมูลส่วนตัว :

ชื่อเต็ม : เฟอร์นานโด โฮเซ่ ตอร์เรส ซานซ์
วันเกิด : 20 มีนาคม 2527 (20 March 1984)
สถานที่เกิด : มาดริด, สเปน
สัญชาติ : สเปน
ส่วนสูง : 183 ซ.ม. (6 ฟุต 1)
น้ำหนัก : 70 ก.ก.
ฉายา: เอลนีโน่ (El Nino)
สโมสร : เชลซี 2010-ปัจจุบัน
ตำแหน่ง : กองหน้า

ประวัติ : เฟอร์นานโด ตอร์เรส เกิดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1984 หรือปี พ.ศ. 2527 เป็นนักฟุตบอลดาวรุ่งพุ่งแรงชาว สเปน ที่ย้ายจากสโมสรบ้านเกิดอย่าง แอตเลติโก มาดริด มาสังกัดสโมสร ลิเวอร์พูล ในประเทศอังกฤษในฤดูกาล 2007/08 ด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติสูงที่สุดของสโมสร (26.5 ล้านปอนด์) เขาเกิดในกรุงมาดริด เมืองหลวงของประเทศสเปน

ตอร์เรส อาจจะไม่ได้โด่งดังเหมือนปัจจุบัน หากเขาเลือกไปอยู่กับทีมยักษ์ใหญ่อย่าง รีล มาดริด โชคชะตาจึงกำหนดให้เขาไปแจ้งเกิดที่ แอตเลติโก มาดริด ทีมคู่แข่งร่วมเมืองนั่นเอง ฉายาของเขาคือ เอลนีโน่ (El Nino) ที่มีความหมายว่า เด็กน้อย เนื่องมาจากใบหน้าที่อ่อนเยาว์ และหล่อเหลาของเขานั่นเอง นอกจากแฟนฟุตบอลแล้ว เขาเองยังมีแฟนคลับ (สาวๆ) ที่ไม่ใช่แฟนฟุตบอลอีกมากมายทั่วโลก

ชีวิตในวันเด็ก : ตอร์เรส วัยเด็ก นั้นก็ไม่ได้มีความแตกต่างจากเด็กๆทั่วไปมากนัก ที่แตกต่างนิดหน่อยนั่นก็คือ กีฬาที่เขาเล่นมีเพียงแต่ ฟุตบอล พออายุ 5 ปีเขาได้ไปร่วมทีมฟุตบอลของศูนย์กีฬาแถวบ้านโดยการผลักดันจากพ่อของเขานั่นเอง ตอร์เรส มักจะฝันอยู่เสมอว่าอยากจะเป็นนักฟุตบอลอาชีพเหมือนกับนักฟุตบอลหลายๆคนที่เขาเห็นในโทรทัศน์ และจากการสนับสนุนของครอบครัว รวมไปถึงคุณปู่ของเขา ผู้ที่เป็นแฟนตัวยงของ แอตเลติโก มาดริด เป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันให้เขาได้ตามหาในฝันวัยเด็ก