หัวหอกทีมชาติไอวอรี่โคสต์ ที่สื่อเรียกขานกันว่า "The Drog" เป็นนักเตะที่ถือว่าแจ้งเกิดค่อนข้างช้าเมื่อเทียบกับผู้เล่นส่วนใหญ่ที่มักจะเริ่มเจิดจรัสกันตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น อย่างไรก็ตาม แม้อายุจะใกล้แตะเลข 3 เข้าไปทุกขณะ แต่ ดร็อกบา ก็ยังมีพร้อมทั้งความเร็ว ความแข็งแกร่ง และความทุ่มเท ที่พร้อมจะสร้างความหนักใจให้กองหลังทีมคู่แข่งได้เสมอ จนมีข่าวว่า บาร์เซโลน่า ยักษ์ใหญ่ของสเปน พร้อมจะทุ่มเงินก้อนโตเพื่อดึงไล่ตาข่าย
ดร็อกบา ระเบิดฟอร์มได้สุดยอดในฤดูกาล 2006/07 เมื่อเหมาคนเดียวถึง 33 ประตูรวมทุกรายการ และทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่ทำประตูให้เชลซีได้มากที่สุด นับตั้งแต่ที่ เคอร์รี่ ดิ๊กสัน เคยทำได้ในฤดูกาล 1984/85 และ 20 ประตูที่ทำได้ในลีก ก็ทำให้เขาคว้ารางวัลรองเท้าทองคำของพรีเมียร์ชิพไปครอง
นอกจากนั้น การลงสนามทั้งหมด 60 นัด ยังทำให้เขาเป็นนักเตะที่ลงสนามต่อซีซั่นมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์สโมสรด้วย
ไม่เพียงแต่จะทำประตูได้อย่างสม่ำเสมอเท่านั้น ดร็อกบา ยังมักจะเป็นคนทำประตูสำคัญๆ ซึ่งรวมถึงการเหมาคนเดียว 2 ลูกให้ "สิงห์บลูส์" เอาชนะ อาร์เซน่อล 2-1 พร้อมกับคว้าแชมป์คาร์ลิ่ง คัพ ไปครองในปี 2007, ทำประตูได้ในเกมที่พบกับ บาร์เซโลน่า ทั้งเหย้าและเยือน ก่อนจะกลายเป็นนักเตะจากทวีปแอฟริกาคนแรก ที่ทำประตูในรอบชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ได้ ซึ่งเป็นประตูชัยที่ทำให้เชลซี เอาชนะ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงต่อเวลาพิเศษ

นักเตะผู้พาไอวอรี่โคสต์ได้ร่วมสังฆกรรมในศึกฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเมื่อปี 2006 ย้ายจากทวีปแอฟริกา มาอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ตั้งแต่ยังเด็ก ก่อนจะเริ่มต้นเล่นฟุตบอลในตำแหน่งแบ็กขวา
หลังจากที่ได้เล่นให้กับสโมสรเล็กๆ มาแล้วหลายครั้ง ดร็อกบา ก็ตัดสินใจที่จะปฏิเสธข้อเสนอการทดสอบฝีเท้ากับปารีส แซงต์ แชร์กแมง ก่อนจะร่วมทีม เลอ ม็องส์ ในดิวิชั่น 2 ของเมืองน้ำหอม และเลื่อนขึ้นมาเล่นในลีก เอิง กับ แก็งก็อง
การทำได้ 17 ประตูในฤดูกาล 2002/03 ได้เตะตาโชเซ่ มูรินโญ่ ที่ขณะนั้นยังเป็นผู้จัดการทีมของปอร์โต้ ทว่า ทีมดังของโปรตุเกส ไม่มีเงินพอที่จะซื้อ ดร็อกบา มาร่วมล่าตาข่ายได้ ก่อนที่เจ้าตัวจะตัดสินใจย้ายซบ มาร์กเซย
ในฤดูกาลที่ 2 กับโอแอ็ม หัวหอกไอวอรี่โคสต์ ก็ซัดไป 18 ประตูจากการลงสนามในลีก 35 นัด และทำได้ 6 ประตูในการแข่งขันยูฟ่า คัพ ซึ่งมาร์กเซย ทะยานเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ
จากนั้น "เดอะ ดร็อก" ก็ได้เซ็นสัญญากับ เชลซี ซึ่งมี มูรินโญ่ เป็นนายใหญ่ของทีม และกลายเป็นกำลังสำคัญในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ นับตั้งแต่ฤดูกาล 2004/05 จวบจนถึงปัจจุบัน
นอกจากจะเป็นศูนย์หน้าที่เชลซีแทบจะขาดไม่ได้แล้ว ดร็อกบา ยังเป็นกัปตันทีมชาติไอวอรี่โคสต์ด้วย และผลงานที่ยอดเยี่ยมของเขาก็ทำให้ได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของทวีปแอฟริกาปี 2006 ไปครอง โดยเขาติดทีมชาติเป็นครั้งแรก ในเกมที่เสมอกับแอฟริกาใต้ 0-0 เมื่อวันที่ 8 กันยายน 2002 และเป็นดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของทีม "ช้างดำ" ในเวลานี้หลังทำไปแล้ว
ในกลางฤดูกาล 2007/08 มูรินโญ่ ผู้เปรียบเสมือนพ่อคนที่สองของเขา โดนเด้งออกจากทีม ช่วงนั้นเป็นเวลาที่เขาเศร้ามาก ถึงขนาดเคยเปรยว่าจะออกจากทีมเลยทีเดียว แต่ก็ทนอยู่กับทีมมาอีกได้ในท้ายที่สุด
ช่วงต้นฤดูกาล 2008/09 ดรอกบามีปัญหาปืนฝืด ทำให้โค้ชสโคลารี่ ดรอปเขาเป็นตัวสำรองอยู่บ่อยครั้ง ครั้นพอสโคลารี่ โดนเด้งออกไป และคนที่มาแทนคือ กุส ฮิดดิ้ง ความคมของดรอกบาก็กลับมาทันที จนจบฤดูกาลด้วย 15 ประตูจากการลงเล่น 39 นัด
|
|
- นักเตะยอดเยี่ยมของทวีปแอฟริกาปี 2006
- แชมป์คาร์ลิ่ง คัพ 2007 กับเชลซี
- ดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก 2006/07 กับเชลซี (20 ประตู)
- แชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2005/2006 กับเชลซี
- แชมป์คอมมูนิตี้ ชิลด์ กับ เชลซี ในปี 2005
- แชมป์พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2004/2005 กับเชลซี
- แชมป์คาร์ลิ่ง คัพ 2005 กับเชลซี
- รองแชมป์ยูฟ่า คัพ ปี 2004 กับ มาร์กเซย
ข้อมูลล่าสุดเมื่อ : 2009-07-29 10:27:49 (อ่าน : 5605 ครั้ง)